ลายสกรีนแก้วที่ใช่ ไอเดียสุดสร้างสรรค์ให้ลูกค้าจดจำแบรนด์คุณ
ลายสกรีนแก้วที่ใช่ ไอเดียสุดสร้างสรรค์ให้ลูกค้าจดจำแบรนด์คุณ ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องแข่งขันเพื่อให้เป็นที่จดจำ “ความแตกต่าง” คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นและตราตรึงอยู่ในใจลูกค้า หนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและใช้งานได้จริงคือ “ลายสกรีนแก้ว” ซึ่งเป็นมากกว่าการตกแต่งบรรจุภัณฑ์ แต่เป็น เครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง ที่ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้โดยไม่ต้องพูดแม้แต่คำเดียว
ลองนึกภาพลูกค้าที่ถือแก้วกาแฟหรือเครื่องดื่มของคุณที่มีลายสกรีนสวยสะดุดตา พร้อมดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลายมินิมอลที่ดูเรียบง่ายแต่มีสไตล์ ลายอาร์ตที่ดึงดูดสายตา หรือแม้แต่ข้อความสร้างแรงบันดาลใจที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ ทุกดีไซน์สามารถกลายเป็น จุดขายสำคัญ ที่ทำให้ลูกค้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปและแชร์ลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งหมายถึงการโปรโมตแบรนด์แบบฟรี ๆ โดยลูกค้าของคุณเอง
แต่ลายสกรีนแบบไหนที่ใช่สำหรับแบรนด์ของคุณ?
การเลือกดีไซน์ที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ต้องสะท้อนอัตลักษณ์ของธุรกิจ สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับลูกค้า และที่สำคัญ ต้องช่วยกระตุ้นการจดจำแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปค้นหาไอเดียลายสกรีนแก้ว ลายสกรีนแก้วที่ใช่ ไอเดียสุดสร้างสรรค์ให้ลูกค้าจดจำแบรนด์คุณสุดสร้างสรรค์ที่สามารถทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่พูดถึง พร้อมเผยเคล็ดลับการออกแบบลายสกรีนให้โดดเด่น มีเอกลักษณ์ และช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ถ้าคุณต้องการให้แก้วของแบรนด์คุณเป็นมากกว่าภาชนะใส่เครื่องดื่ม แต่เป็นเครื่องมือสร้างความประทับใจและดึงดูดลูกค้า ห้ามพลาดบทความนี้!
มาสคอต (Mascot) ที่เป็นเอกลักษณ์
มาสคอตเป็นตัวแทนของแบรนด์ที่ช่วยสร้างความจดจำและเพิ่มความน่าสนใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยมักถูกออกแบบให้เป็นตัวละครที่มีลักษณะโดดเด่น สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ และสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับลูกค้า
องค์ประกอบสำคัญของมาสคอต
- ดีไซน์ที่สะท้อนแบรนด์
- เลือกตัวละครที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ เช่น มาสคอตแมวขนฟูสำหรับคาเฟ่แมว หรือหมีที่ถือแก้วกาแฟสำหรับร้านกาแฟ
- ใช้รูปร่างและสไตล์ที่เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ดีไซน์ที่ดูน่ารักสำหรับเด็ก หรือแบบเรียบง่ายแต่ดูหรูหราสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์
- สีสันที่โดดเด่นและสื่ออารมณ์
- ใช้สีที่สะท้อนแบรนด์ เช่น สีพาสเทลสำหรับร้านขนมหวาน หรือสีเอิร์ธโทนสำหรับแบรนด์รักษ์โลก
- เลือกสีที่ช่วยสร้างอารมณ์เชิงบวก เช่น สีสดใสเพื่อความสนุกสนาน หรือสีอบอุ่นเพื่อความสบายตา
- การแสดงอารมณ์และท่าทาง
- เพิ่มองค์ประกอบที่ทำให้มาสคอตดูมีชีวิตชีวา เช่น ตาโต ยิ้มแย้ม หรือมีอิริยาบถที่แสดงความขี้เล่น
- สร้างท่าทางที่ช่วยสื่อถึงเอกลักษณ์ของธุรกิจ เช่น มาสคอตที่กำลังจิบกาแฟอย่างมีความสุข หรือกำลังเล่นกับลูกค้า
- สามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย
- ควรออกแบบให้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในโลโก้ โซเชียลมีเดีย โฆษณา และสินค้าพรีเมียม เช่น ตุ๊กตามาสคอตหรือพวงกุญแจ
- มีเวอร์ชันที่ปรับแต่งได้ เช่น เปลี่ยนสีเสื้อ เปลี่ยนอารมณ์ หรือใช้ท่าทางต่างๆ ตามเทศกาล
ตัวอย่างแนวคิดมาสคอตที่น่าสนใจ
- มาสคอตกระต่ายถือเค้ก สำหรับร้านเบเกอรี่ที่เน้นความอบอุ่นและน่ารัก
- มาสคอตนกฮูกใส่แว่น สำหรับร้านหนังสือหรือคาเฟ่ที่ต้องการสื่อถึงความรู้และความฉลาด
- มาสคอตแมวลายเสือยิ้มแย้ม สำหรับร้านอาหารที่ต้องการเพิ่มความสนุกสนานและเป็นกันเอง
สัญลักษณ์ (Symbol) ที่เรียบง่ายแต่โดดเด่น
การออกแบบสัญลักษณ์ให้เรียบง่ายแต่โดดเด่นเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องการให้ลูกค้าจดจำได้ในทันที เช่น แบรนด์ร้านกาแฟที่ต้องการสะท้อนถึงรสชาติ ประสบการณ์ และความรู้สึกของลูกค้าเมื่อดื่มกาแฟ
การออกแบบสัญลักษณ์ (Symbol) ให้มีเอกลักษณ์
1. การใช้โลโก้แบบมินิมอล (Minimal Logo Design)
โลโก้ที่ออกแบบในสไตล์มินิมอลมักเน้นความเรียบง่าย ใช้เส้น รูปทรง และสีที่น้อยแต่สื่อความหมายได้ชัดเจน ซึ่งช่วยให้ลูกค้าจดจำได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างของการออกแบบโลโก้มินิมอล ได้แก่
- รูปทรงเรียบง่าย: เช่น ถ้วยกาแฟที่มีเส้นขอบบางๆ หรือการใช้เงาของเมล็ดกาแฟแบบสไตลิสต์
- ตัวอักษรและฟอนต์ที่อ่านง่าย: อาจใช้ฟอนต์ Sans-serif ที่สะอาดตา หรือแบบตัวเขียนที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง
- สีที่จำกัด: เลือกใช้สีเพียง 1-2 สีที่เป็นโทนหลักของแบรนด์ เช่น สีน้ำตาลกาแฟ สีครีม สีดำ หรือสีเอิร์ธโทน
2. การใช้ลวดลายกราฟิกที่เชื่อมโยงกับแบรนด์
การเพิ่มองค์ประกอบกราฟิกที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ช่วยให้ภาพลักษณ์มีความแข็งแกร่งขึ้น เช่น
- รูปเมล็ดกาแฟ: สามารถใช้เป็นสัญลักษณ์หลัก หรือเป็นองค์ประกอบที่แทรกอยู่ในโลโก้หรือแพทเทิร์น
- ลายเส้นคลื่นไอน้ำร้อน: ใช้เส้นโค้งที่ดูเป็นธรรมชาติเพื่อสื่อถึงความอบอุ่นและกลิ่นหอมของกาแฟ
- ถ้วยกาแฟสไตล์มินิมอล: อาจเป็นเส้นขอบของถ้วยกาแฟแบบง่ายๆ หรือใช้เป็นสัญลักษณ์ไอคอนของแบรนด์
3. การออกแบบแพทเทิร์นซ้ำๆ เพื่อให้เกิดภาพจำ
การใช้ลวดลายที่ซ้ำกันสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นบนบรรจุภัณฑ์ เมนู หรืออุปกรณ์อื่นๆ ในร้าน ตัวอย่างของแพทเทิร์นที่เหมาะกับแบรนด์กาแฟ ได้แก่
- ลายเส้นมือวาด: เช่น ลายเส้นของเมล็ดกาแฟที่วาดด้วยมือให้ดูมีเอกลักษณ์
- ลวดลายแบบดั้งเดิมที่สะท้อนถึงแบรนด์: อาจใช้ลายเส้นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมกาแฟ เช่น ลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะเอธิโอเปีย (ต้นกำเนิดของกาแฟ)
- การใช้สัญลักษณ์ในรูปแบบกริด: เช่น การนำไอคอนถ้วยกาแฟ เมล็ดกาแฟ หรือเครื่องชงกาแฟมาจัดวางเป็นแพทเทิร์นซ้ำๆ
ตัวอักษร (Typography)
การเลือกตัวอักษร (Typography) ที่มีเอกลักษณ์เป็นส่วนสำคัญในการออกแบบภาพลักษณ์ของร้านค้า เพราะฟอนต์สามารถช่วยสื่อสารและสะท้อนความเป็นตัวตนของร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:
- ฟอนต์หวัดลายมือสำหรับร้านแนวอบอุ่น: ฟอนต์ประเภทนี้มักให้ความรู้สึกที่เป็นมิตรและอบอุ่น เหมาะสำหรับร้านที่ต้องการสร้างบรรยากาศสบาย ๆ และเป็นกันเอง เช่น ร้านกาแฟที่ต้องการให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนมานั่งเล่นในบ้าน ฟอนต์ลายมือที่ดูเป็นธรรมชาติจะช่วยเสริมความรู้สึกนี้
- ฟอนต์ตัวหนา โมเดิร์น สำหรับร้านสไตล์มินิมอล: ร้านสไตล์มินิมอลมักเน้นความเรียบง่ายและสะอาดตา ฟอนต์ตัวหนาที่มีลักษณะทันสมัยและเรียบง่ายจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและโดดเด่น ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสไตล์นี้ ฟอนต์ประเภทนี้สามารถช่วยให้ชื่อร้านดูแข็งแรงและสื่อถึงความมั่นคง
- ฟอนต์วินเทจสำหรับร้านคาเฟ่แนวย้อนยุค: ฟอนต์วินเทจมักจะมีลักษณะเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความคลาสสิคและยุคสมัยที่ผ่านไปแล้ว เช่น ฟอนต์ที่ดูมีเสน่ห์และมีความละเอียดอ่อน เหมาะสำหรับร้านที่ต้องการบรรยากาศย้อนยุค หรือร้านที่เน้นความดั้งเดิมและเสน่ห์ของอดีต
การเพิ่มคำพูดสร้างแรงบันดาลใจหรือสโลแกน เช่น “Start your day with coffee” หรือ “Happiness in a cup” จะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกในเชิงบวกและดึงดูดลูกค้าให้รู้สึกว่ามีความสุขและพึงพอใจในการมาเยี่ยมชมร้าน สโลแกนที่เลือกใช้ควรตรงกับภาพลักษณ์และคาแรคเตอร์ของร้าน เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงกับร้านในระดับอารมณ์
ดีไซน์ที่เล่นกับสี และเทคนิคพิเศษ
ใช้สีพาสเทลสำหรับลุคสดใส: สีพาสเทลมักจะสร้างความรู้สึกอบอุ่นและสดใส เหมาะสำหรับการออกแบบที่ต้องการสร้างความรู้สึกน่ารัก สนุกสนาน หรือผ่อนคลาย สีเหล่านี้ยังสามารถผสมผสานกับการออกแบบที่เน้นความนุ่มนวลและดูมีชีวิตชีวา ช่วยทำให้ดีไซน์ดูทันสมัยและเหมาะสมกับการใช้งานในหลากหลายโอกาส
ลายเส้นขาวดำแบบมินิมอล: การใช้โทนสีขาวดำในรูปแบบมินิมอลทำให้เกิดความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ลายเส้นเหล่านี้สามารถทำให้เกิดความรู้สึกทันสมัยและมีสไตล์ การใช้ความว่างในพื้นที่ช่วยให้ความสนใจไปที่จุดสำคัญของการออกแบบและทำให้ภาพรวมดูสมดุล
เทคนิค Negative Space (พื้นที่ว่าง): การเล่นกับพื้นที่ว่างช่วยสร้างลวดลายหรือรูปร่างที่มีความชาญฉลาดและโดดเด่น เทคนิคนี้ช่วยให้การออกแบบดูน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ในพื้นที่นั้น เช่น การใช้ความว่างระหว่างเส้นหรือรูปร่างต่างๆ เพื่อสร้างภาพที่มีความลึกซึ้งและไม่เหมือนใคร
ลายเส้นสไตล์วาดมือ: ลายเส้นที่ดูเหมือนวาดด้วยมือสามารถเพิ่มความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติให้กับดีไซน์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือความมีเสน่ห์และไม่ซ้ำซ้อน เหมาะสำหรับการสร้างความรู้สึกเป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย
ออกแบบให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้: การออกแบบที่ให้ความสนุกและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ เช่น การที่ลูกค้าสามารถเขียนชื่อได้ หรือการใช้เทคนิคที่ทำให้ลายกราฟิกเปลี่ยนแปลงเมื่อสัมผัสกับน้ำร้อน ช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจและไม่ซ้ำซาก เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการให้ผู้ใช้รู้สึกมีส่วนร่วม
ออกแบบลาย 360° รอบแก้ว: การออกแบบให้ลายกราฟิกปรากฏจากทุกมุมจะช่วยให้ดีไซน์ดูดีและน่าสนใจในทุกๆ ด้าน โดยไม่จำกัดมุมมองที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งทำให้ตัวผลิตภัณฑ์ดูมีเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร
ลายภาพลวงตา (Optical Illusion)
ลายภาพลวงตา (Optical Illusion) เป็นการออกแบบที่ใช้เทคนิคที่ทำให้เรามองเห็นภาพในลักษณะที่แตกต่างจากสิ่งที่มันเป็นจริง ๆ มักจะสร้างความรู้สึกว่าภาพนั้นมีมิติหรือการเคลื่อนไหว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ภาพแบนๆ ในความเป็นจริง ตัวอย่างของเทคนิคที่ใช้ในการสร้างภาพลวงตา ได้แก่:
- ภาพซ้อนหรือลวดลายที่เปลี่ยนรูปร่างเมื่อหมุนแก้ว: เทคนิคนี้สร้างภาพลวงตาโดยการออกแบบลวดลายที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้เมื่อแก้วถูกหมุน รอบของลวดลายจะทำให้เรามองเห็นภาพที่แตกต่างไปเมื่อการหมุนเป็นไปในทิศทางต่าง ๆ เช่น อาจมีลวดลายที่ดูเหมือนจะเป็นภาพ 3D เมื่อหมุนแก้วในบางมุม หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในลักษณะที่เราไม่คาดคิด
- ลวดลาย 3D หรือเส้นที่ให้ความรู้สึกลึก: ลายเส้นที่ออกแบบให้มีลักษณะเหมือน 3D สามารถสร้างภาพลวงตาโดยการทำให้ลวดลายนั้นดูเหมือนมีความลึก หรือมีมิติแม้ว่าจะเป็นแค่ลายเส้นแบนๆ เช่น ภาพที่แสดงให้เห็นความรู้สึกว่าภาพนั้นมีชั้นของพื้นที่หรือหลุมลึกลงไป ทำให้ดูเหมือนว่าภาพสามารถ “หลุดออก” หรือ “ยุบตัว” ได้
- เทคนิคแอนิเมชันแบบ Flip Book: เทคนิคนี้ใช้หลักการแอนิเมชันที่เกิดจากการดูภาพที่เปลี่ยนไปทีละขั้นตอน คล้ายกับการพลิกหนังสือที่มีภาพซ้อนกัน แต่ในกรณีของแก้วที่หมุนได้ การหมุนแก้วจะทำให้เรารู้สึกว่าเกิดการเคลื่อนไหว เช่น การทำให้มาสคอตหรือภาพบางภาพดูเหมือนกำลังขยับหรือเคลื่อนไหวได้โดยการใช้การหมุนที่ทำให้แต่ละเฟรมของภาพลวดลายเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางที่หมุน
ดีไซน์ที่เล่าเรื่องราว (Storytelling Design)
ดีไซน์ที่เล่าเรื่องราว (Storytelling Design) คือการใช้การออกแบบเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวหรือข้อความที่มีความหมาย โดยมีการนำเสนอลักษณะของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ผ่านการใช้ภาพที่มีเนื้อหาหรือองค์ประกอบที่สามารถเชื่อมโยงกับเรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าจดจำ
ตัวอย่างของ ดีไซน์ที่เล่าเรื่องราว ได้แก่:
- ลายที่ต่อเนื่องกัน: การออกแบบที่มีลายภาพที่เชื่อมโยงระหว่างสองด้าน หรือหลายๆ ด้าน เช่น การแสดงภาพของเมล็ดกาแฟในด้านหนึ่ง และกาแฟที่ชงเสร็จแล้วในอีกด้านหนึ่ง การออกแบบนี้ทำให้ผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวจากต้นจนจบได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม
- การ์ตูน 4 ช่อง: การใช้การ์ตูนสั้นๆ ซึ่งแต่ละช่องบอกเล่าเรื่องราวสั้นๆ เช่น “เช้าวันหนึ่ง… ฉันต้องการกาแฟ!” ลายการ์ตูนสไตล์นี้จะทำให้ผู้ที่เห็นรู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวในแบบที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน
- ลายที่สะท้อนเสน่ห์ของแบรนด์: การใช้ภาพที่บอกเล่าถึงกระบวนการหรือขั้นตอนในการทำผลิตภัณฑ์ เช่น การชงกาแฟในร้านในรูปแบบมินิมอล การออกแบบลักษณะนี้ไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังสะท้อนถึงเอกลักษณ์และวิธีการทำงานของแบรนด์ได้อย่างมีเสน่ห์
ลายที่เชื่อมโยงกับเทศกาลหรือเทรนด์ปัจจุบัน
การออกแบบลายที่เชื่อมโยงกับเทศกาลหรือเทรนด์ปัจจุบันสามารถทำได้โดยการรวมองค์ประกอบต่างๆ ที่สะท้อนถึงอารมณ์และบรรยากาศของเทศกาล หรือปรับลายให้ทันสมัยและสอดคล้องกับกระแสในโซเชียลมีเดียดังนี้:
เทศกาลวาเลนไทน์
- ลายที่ใช้ในเทศกาลนี้มักจะเกี่ยวข้องกับความรัก เช่น รูปหัวใจ, ดอกกุหลาบ, หรือคู่รัก
- เทรนด์ปัจจุบัน: การใช้คำพูดหรือมุกตลกที่เกี่ยวกับความรัก เช่น “รักนะจุ๊บๆ” หรือ “ถ้าไม่รัก ใจจะพัง” ที่มีความหมายตรงๆ หรือเล่นคำให้เข้ากับบรรยากาศรักๆ
- ลายอาจจะมีการใช้สีชมพูหรือแดงสดใสเพื่อสร้างอารมณ์ของความรัก
เทศกาลสงกรานต์
- ลายที่ใช้มักเกี่ยวกับน้ำ, ดอกไม้, หรือเครื่องประดับไทยๆ เช่น กระทง, สายฟ้าผ่า, ลายดอกบัว
- การใช้ลายไทยประยุกต์ให้ทันสมัย หรือการออกแบบให้ดูสนุกสนานเหมาะกับการเล่นน้ำ
- เทรนด์ปัจจุบัน: ใช้คำพูดตลกหรือคำคมเกี่ยวกับสงกรานต์ เช่น “สงกรานต์นี้ใครยังไม่เปียกถือว่าเบี้ยว” หรือ “ร้อนขนาดนี้ขอให้แชะรูปลงโซเชียลหน่อย”
เทศกาลลอยกระทง
- ลายที่เชื่อมโยงมักจะเกี่ยวกับการลอยกระทง เช่น ลายกระทง, ดอกบัว, และไฟตะเกียง
- การใช้สีทองหรือสีที่สื่อถึงแสงไฟจะช่วยให้ลายมีความโรแมนติกและหรูหรา
- เทรนด์โซเชียลมีเดีย: การเพิ่มข้อความที่สะท้อนการตั้งจิตอธิษฐาน เช่น “ลอยกระทงนี้ขอให้โชคดีมีความรัก” หรือ “ขอให้ชีวิตสงบสุขเหมือนน้ำในกระทง”
ฤดูกาลคริสต์มาส
- ลายที่เกี่ยวข้อง เช่น หิมะ, ต้นคริสต์มาส, ซานตาคลอส, และของขวัญ
- เทรนด์ในปัจจุบัน: การผสมผสานมุกตลกจากโซเชียล เช่น “ซานตาคลอสให้ของขวัญคุณแล้ว อย่าลืมให้ของขวัญเราด้วย” หรือ “ทำไมปีนี้คริสต์มาสมาเร็ว? เพราะเวลาผ่านไปเร็วเหมือนการรอของขวัญ”
- การใช้ลายหิมะหรือสีเขียว-แดงของคริสต์มาสเป็นสีหลักช่วยเสริมบรรยากาศ
การออกแบบลายสำหรับเทศกาลและเทรนด์ปัจจุบันสามารถผสมผสานระหว่างความหมายในแต่ละเทศกาลกับความสนุกสนานที่มาจากคำพูดหรือมุกที่ฮิตในโซเชียลมีเดีย ช่วยให้ผลงานดูทันสมัยและมีความเชื่อมโยงกับผู้คนในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
หากคุณกำลังหาของขวัญสุดพรีเมี่ยมสำหรับเทศกาล หรือของพรีเมี่ยมสกรีนโลโก้ นึกถึงเราที่ Buddy Premium