เทศกาลตรุษจีน ประเพณีการมอบของพรีเมี่ยมและความหมายทางวัฒนธรรม
ในบทความนี้ เราจะพาคุณสำรวจลึกลงไปในเรื่องของเทศกาลตรุษจีน หรือ วันตรุษจีน และประเพณีการมอบของขวัญ ของพรีเมี่ยม ที่ทำให้เทศกาลนี้เป็นหนึ่งในงานเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดของชาวจีนทั่วโลก
เทศกาลตรุษจีน ที่มาและประวัติ
เริ่มต้นจากประวัติศาสตร์ของเทศกาลตรุษจีน, ที่มีรากฐานอันลึกลับและน่าสนใจ เราจะตามรอยประวัติศาสตร์ของเทศกาลนี้ตั้งแต่กำเนิด, การเปลี่ยนแปลง, และวัฒนธรรมที่กำลังพัฒนา
เทศกาลตรุษจีน เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวจีน ที่มีประวัติศาสตร์และที่มาที่หลากหลาย มีความสำคัญทั้งทางวัฒนธรรมและศาสนา โดยเทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเปลี่ยนปีตามปฏิทินจีน ที่มีระยะเวลาที่ตรงกับการเปลี่ยนปีของปฏิทินจีนที่ใช้จันทรคติ จึงเป็นเวลาที่ครอบครัวรวมตัวกัน นิยมให้ขอบคุณและล้างตัวของสิ่งเสียหายในปีที่ผ่านมา ร่วมสร้างความกระจ่างแจ้งและเป็นที่รู้จักทางโลก ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
ที่มาของเทศกาลตรุษจีน
ที่มาของเทศกาลตรุษจีนต้นกำเนิดมาจากตำนานของมังกรและเหนียน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักอสุรสัตว์ที่มีนามว่า “เหนียน” กันก่อน บางตำนานว่ามันอาศัยอยู่ในป่าทึบ แต่บางตำนานก็บอกว่ามันเป็นสัตว์ในทะเล เหนียนเป็นสัตว์ดุร้ายมาก ทว่ายังดีที่ปีหนึ่งมันจะโผล่ออกมาอาละวาดแค่วันเดียว อันเป็นวันสิ้นปี ชอบออกมาจับกินวัวควาย สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านตลอดจนถึงผู้คน ทำให้ชาวบ้านหวาดผวากันยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้พอถึงวันสิ้นปี ชาวบ้านก็จะปิดประตูหน้าต่างมิดชิด จะไม่ออกจากบ้าน เพื่อให้พ้นจากภัยของปีศาจเหนียน ซึ่งว่ากันว่ารูปร่างมันน่ากลัว ที่หัวมีขนรุงรัง
ตอนกลางคืนของวันสิ้นปี อสุรสัตว์เหนียนก็มาเยือนตามปกติ มันพบว่าบ้านเรือนส่วนใหญ่เงียบเชียบราวกับหมู่บ้านร้าง แต่มีบ้านอยู่หลังหนึ่งซึ่งมีกระดาษแดงแปะอยู่เหนือประตูบ้าน แถมในบ้านยังมีแสงเทียนสว่างไสว พอเห็นดังนั้นอสุรสัตว์เหนียนมันก็กลัวจนตัวสั่น แต่ฉับพลันมันก็วิ่งรี่เข้าใส่บ้านนั้นอย่างโกรธแค้น ทว่าเจ้าอสุรสัตว์ก็ต้องเผชิญกับเสียงประทัดดังปัง ปัง ปังๆ รั่วๆทำให้มันตกใจจนต้องร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว และเผ่นหนีออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่หวนคืนกลับมาอีกเลย โดยมีขอทานเฒ่ายืนหัวเราะชอบใจอยู่เบื้องหลัง
และตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านก็รู้ว่าอันที่จริงเจ้าปีศาจนั้นกลัวสีแดง แสงไฟ และเสียงดัง พอถึงวันสิ้นปี แต่ละบ้านก็จะประดับบานประตูด้วยกระดาษแดง แขวนโคมไฟสีแดง และมีการจุดประทัดกันสนั่นหวั่นไหว เพื่อขับไล่เจ้าปีศาจเหนียนนั่นเอง ชาวบ้านก็ออกมาเฉลิมฉลองวันปีใหม่กันอย่างคึกคัก แสดงความยินดีต่อกัน ไปเยี่ยมเยือนญาติสนิทมิตรสหาย จนกลายเป็นประเพณีสืบเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้
ประวัติของเทศกาลตรุษจีน
เทศกาลตรุษจีนมีประวัติยาวนานมากถึงหลายพันปี ในปัจจุบันการฉลองเทศกาลนี้เป็นเวลาที่ครอบครัวชาวจีนจะมารวมตัวกัน เผยแพร่ความร่วมมือและสร้างความอบอุ่น รวมถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความสนุกสนาน และบอกเล่าประสบการณ์ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
วันตรุษจีน
วันตรุษจีน (Chinese New Year) เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน จะเฉลิมฉลองกันเป็นเวลา 15 วัน โดยวันแรกจะเรียกว่า “วันจ่าย” เป็นวันที่คนจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนจะออกไปจับจ่ายซื้อของสำหรับไหว้บรรพบุรุษและเฉลิมฉลองปีใหม่จีน วันรุ่งขึ้นจะเรียกว่า “วันไหว้” เป็นวันไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าต่างๆ วันสุดท้ายจะเรียกว่า “วันเที่ยว” เป็นวันที่คนในครอบครัวไปเยี่ยมญาติมิตรหรือรวมญาติพร้อมเฉลิมฉลองวันปีใหม่จีนพร้อมๆกัน
ในช่วง “เทศกาลตรุษจีน“ จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือนให้สะอาดสดใส ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ต่างเต็มไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เด็กๆ ซื้อของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซื้อบัตรอวยพรในโอกาสมงคล ในตลาดคราคล่ำไปด้วยผู้คน ที่มาซื้อปลา เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ ฯลฯ ทุกคนต่างดูแจ่มใสมีความสุข เด็กๆ สวมเสื้อใหม่ ทานลูกกวาด ขนมหวาน เล่นพลุประทัด อย่างรื่นเริง
ปฏิทินวันตรุษจีนปี 2567
ในปี 2567 นี้ วันตรุษจีนจะตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็น “วันเที่ยว” สำหรับคนไทยเชื้อสายจีนจะพากันออกไปท่องเที่ยว และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม สีสันสดใส ไปไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ ตรุษจีนเป็นงานเฉลิมฉลองที่ยาวที่สุดและสำคัญที่สุดในปฏิทินจีน จุดกำเนิดของตรุษจีนนั้นมีประวัติหลายศตวรรษและมีความสำคัญเพราะตำนานและประเพณีหลายอย่าง ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติที่สำคัญอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว
วันจ่าย ตรงกับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567
วันจ่าย คือ วันก่อนวันสิ้นปีก่อนถึงตรุษจีน เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องออกไปจับจ่าย ซื้อของ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ผลไม้ และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าเหล่านั้นจะปิดร้านเพื่อหยุดพักผ่อนยาว
วันไหว้ หรือ วันไหว้เจ้า ตรงกับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567
ตอนเช้ามืด จะเริ่มพิธีการไหว้ ป้ายเล่าเอี๊ย โดยเป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ มีอาหารประกอบการไหว้ คือ เนื้อสัตว์สามอย่าง ได้แก่ หมู เป็ด และไก่ อาจะเพิ่มตับ และปลาก็จะเป็นเนื้อสัตว์ห้า อย่าง ร่วมกับเหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
ตอนสาย จะทำพิธีการไหว้ ป้ายแป๋บ้อ เป็นการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเป็นการแสดงความกตัญญูตามความเชื่อและคติของคนจีน ซึ่งในการไหว้ครั้งนี้จะใช้เวลาไม่เกินเที่ยงวัน มีเครื่องประกอบการไหว้ คือ ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนใหญ่จะทำตามสิ่งที่ผู้ล่วงรับชอบรับประทาน) รวมทั้งมีการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่อเป็นการอุทิศแด่ผู้ที่ล่วงลับ จากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเพื่อความเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาของครอบครัว หรือวงศ์ตระกูลที่จะรวมตัวกันได้มากที่สุด ปิดท้ายด้วยการแลกอั่งเปาหลังจากที่ได้รับประทานอาหารร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตอนบ่าย จะทำพิธีการไหว้ ป้ายฮ่อเฮียตี๋ เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องประกอบการไหว้จะเป็นจำพวก ขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย เสริมสร้างความเป็นสิริมงคล
วันเที่ยว ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567
วันเที่ยว หรือวันถือ นั่นก็คือ วันขึ้นปีใหม่ของคนจีน เป็นวันที่ทุกคนพากันออกไปท่องเที่ยวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม สีสันสดใส ไปไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ และพากันออกเที่ยว ในวันนี้ผู้คนจะหยุดทำงาน พร้อมทั้งถือเคล็ดต่างๆ ตามธรรมเนียมตรุษจีน ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน วันตรุษจีนเป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นวันที่มีสิริมงคล ให้งดทำบาป ซึ่งจะมีการถือคติบางอย่างที่สำคัญ อาทิ เช่น งดการพูดจาที่ไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่ออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน
วันตรุษจีนห้ามทําอะไรบ้าง?
- ห้ามสระผมหรือตัดผม เนื่องจากคำว่า “ผม” พ้องเสียงและพ้องรูปกับคำว่า “มั่งคั่ง” ดังนั้น การสระหรือตัดผมในวันตรุษจีน มีความหมายว่า การนำความมั่งคั่งออกไป
- ห้ามกินโจ๊กและเนื้อสัตว์ ในสมัยก่อนคนจนมักจะกินโจ๊กในตอนเช้า ดังนั้น การกินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีน เหมือนกับการขัดขวางความร่ำรวย ขัดลาภ ขัดโชคจึงไม่ควรกินโจ๊กในเช้าของวันตรุษจีน รวมทั้งไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เนื่องจากมีความเชื่อว่า เทพเจ้าที่ลงมาในตอนเช้าของวันตรุษจีนนั้นจะกินแต่มังสวิรัติ
- ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะกัน คนจีนจะงดพูดคำหยาบและสิ่งที่ไม่ดี รวมถึงพูดเรื่องความตายหรือผี เพราะเชื่อกันว่า จะนำความโชคร้ายมาให้ทั้งปี
- ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน คนจีนเชื่อว่า เทพเจ้าแห่งน้ำ เกิดในวันตรุษจีน ดังนั้น การซักผ้าในวันตรุษจีนเปรียบเสมือนการลบหลู่ท่านนั้นเอง
- ห้ามใส่ชุดขาวดำ เสื้อผ้าที่เป็นสีขาวดำ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ดังนั้นการใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีดำ หมายถึง ลางร้าย โดยคนจีนจะนิยมใส่เสื้อผ้าสีแดง เพราะเชื่อว่า สีแดง คือ สีแห่งโชคลาภ หรือสีแห่งความโชคดี
- ห้ามทำของแตก เพราะเชื่อว่า เป็นลางร้ายจะทำให้ครอบครัวแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว หากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ มีวิธีการแก้เคล็ดโดยการพูดว่า “luo di ka hua” ที่แปลว่า ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกลงสู่พื้น
- ห้ามให้ยืมเงิน คนจีนเชื่อว่า การยืมเงินในวันนี้ จะทำให้ทั้งปีมีคนเข้ามาขอยืมเงินตลอด และถ้าใครที่ติดเงินใคร ควรที่จะคืนเงินก่อนวันตรุษจีน เพราะเชื่อว่า จะมีหนี้สินตลอดทั้งปี
- ห้ามซื้อรองเท้าใหม่ คนจีนจะไม่ซื้อรองเท้าใหม่ในเดือนแรกของวันตรุษจีน เพราะคำว่า รองเท้า ในภาษาจีนออกเสียงว่า Hai มีเสียงคล้ายกับการถอนหายใจ จึงเชื่อว่า เป็น “สัญญาณของการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี”
- ห้ามร้องไห้ คนจีนเชื่อว่า จะทำให้พบกับเรื่องไม่ดี และเสียใจทั้งปี
- ห้ามใช้ของมีคม ชาวจีนเชื่อว่า การใช้ของมีคมตัดสิ่งของ คือ การตัดโชคตัดลาภไปด้วย
- ห้ามเข้าไปในห้องนอนคนอื่น คนจีนเชื่อการเข้าห้องนอนผู้อื่นในวันตรุษจีน ถือเป็นโชคร้าย
วันตรุษจีนควรทําอะไรบ้าง เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล
- ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติ วันที่ชาวจีนต้องไว้เจ้านั้นเราเรียกว่า “วันซาจั๊บ” โดยมักจะทำในช่วงเช้าหลังจากที่ไหว้เจ้าในบ้าน คือ ตีจูเอี๊ยะและไหว้บรรพบุรุษ แล้วในตอนเที่ยงจึงไหว้ผีไม่มีญาติ โดยของไหว้จะมีทั้งอาหารคาว เช่น เป็ด ไก่ รวมถึงอาหารหวานด้วย จะมากหรือจะน้อย ก็ขึ้นอยู่กับฐานะของผู้ไหว้ เมื่อไหว้เสร็จก็ต้องจุดประทัด จากนั้นจึงเอาข้าวสารมาผสมกับเกลือแล้วนำมาโปรยเพื่อขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป
- รวมญาติกินเกี๊ยว สิ่งที่สำคัญมากอีกหนึ่งประการของวันตรุษจีน คือ เป็นวันนัดรวมญาติ เพราะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องเดินทางมาร่วมโต๊ะกินเกี๊ยวด้วยกันในวันซาจั๊บ ซึ่งถือเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจะถึงวันปีใหม่หรือ “วันชิวอิก” (วันแรกของปีใหม่ของชาวจีน คือ วันชิวอิก) และเหตุที่ต้องเป็น “เกี๊ยว” ก็เพราะรูปร่างของเกี๊ยวมีลักษณะเหมือนกับ “เงิน” ของจีน จึงแฝงความหมายเป็นนัยว่าให้มั่งมีเงินทองนั่นเอง
- กินเจมื้อเช้า คือ มื้อแรกของปี ในวันชิวอิก (วันแรกของปีใหม่ของชาวจีน) คนจีนจะกินเจเป็นอาหารมื้อแรก ซึ่งถือว่าเป็นมื้ออาหารแรกของปี โดยมีความเชื่อว่าจะได้บุญเหมือนกับกินเจตลอดทั้งปี
- ทำพิธีรับ “ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ” เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเป็นเทพพิทักษ์ทรัพย์ จึงมักจะมีการทำพิธีรับเทพซึ่งเปรียบได้กับการทำพิธีรับโชคลาภ โดยทั่วไปมักจะทำพิธีในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปจนถึงตีหนึ่งของวันซาจั๊บ
- ติดตุ๊ยเลี้ยง หรือ คำอวยพรปีใหม่ เมื่อก่อนคนจีนที่พอมีความรู้จะเขียน “ตุ๊ยเลี้ยง” เอง โดยใช้หมึกดำหรือสีทองเขียนคำอวยพรลงบนกระดาษสีแดง ท่านใดไม่มีความรู้ด้านภาษาจีน ก็สามารถไปจ้างมืออาชีพเขียนให้ได้ โดยแหล่งใหญ่ก็อยู่ในย่านไชน่าทาวน์ หรือ เยาวราชนั่นเอง ส่วนคำอวยพรที่นิยมเขียน ประกอบด้วยตัวอักษร 7 ตัว เขียนเป็นคำกลอน โดยมากจะอวยพรให้ “ทำมาค้าขึ้น หรือ ให้มั่งมีเงินทอง” จากนั้นจะนำมาติดตามสองข้างประตูบ้าน และต้องมีอีก 1 แผ่นสำหรับติดทางขวางตรงกลางทางเข้า-ออก แผ่นนี้จะต้องเขียนคำว่า “ชุก ยิบ เผ่ง อัง” ซึ่งมีความหมายว่า เข้า-ออกโดยปลอดภัย นอกจากนี้ ชาวจีนยังนิยมติดภาพเด็กผู้หญิง-เด็กผู้ชาย ที่เรียกว่า “หนี่อ่วย” ซึ่งถือเป็นภาพมงคลที่มักติดบริเวณประตูหน้าบ้าน
- ใส่เสื้อผ้าใหม่สีสันสดใส ชาวจีนนิยมใส่เสื้อผ้าใหม่ สีสันสดใส เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีแต่สิ่งดีๆ สิ่งใหม่ๆ เข้ามาในปีใหม่นี้ด้วย โดยการเลือกเสื้อสีสดก็เปรียบได้กับความสว่างสดใสและความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ซึ่งสีที่เป็นที่นิยมที่สุด ก็คือ “สีแดง”
- ส้ม 4 ผล อวยพรผู้ใหญ่ ธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติในวันชิวอิก (วันแรกของปีใหม่จีน) คือ ทุกคนจะต้องนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าบ้านเองก็จะเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงไว้รวมถึงลูกสมอจีนเอารอรับแขกอยู่แล้ว และเมื่อมีผู้มาอวยพรพร้อมกับส้ม 4 ผล เจ้าบ้านก็จะรับส้มมา 2 ผล พร้อมกับนำส้มในบ้านตนเองไปวางคืนให้กับแขก 2 ผล
- รับอั่งเปา วันตรุษจีนถือเป็นอีกวันสำหรับของเด็กๆ ที่ต่างตั้งตารอคอยวันนี้มาตลอด เพราะเป็นวันที่จะได้รับซองแดงใส่เงินขวัญถุง จากผู้ใหญ่เพื่อให้โชคดีตลอดทั้งปี โดยมารยาทก่อนจะรับซองแดงต้องอย่าลืมกล่าวคำว่า “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” เพื่ออวยพรผู้ใหญ่ก่อนเสมอ
- ไหว้เจ้าเพื่อเป็นสิริมงคล นอกจากในวันซาจั๊บแล้ว ในวันชิวอิกนี้ก็ยังต้องมีการไหว้ไหว้บรรพบุรุษ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อแสดงความกตัญญู และที่สำคัญก็ยังต้องไหว้เจ้าเพื่อขอให้เทพเจ้าช่วยให้พรให้ชีวิตของคุณและครอบครัวประสบแต่ความสุข ความเจริญ
ประเพณีการมอบของขวัญหรือของพรีเมี่ยมในวันตรุษจีน
การมอบของขวัญใน วันตรุษจีน เกิดขึ้นในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความร่วมมือของครอบครัว หรือคู่ค้าของธุรกิจ การมอบของขวัญ หรือ ของพรีเมี่ยม นั้นไม่เพียงแค่เป็นการแสดงความพึงพอใจต่อผู้รับ, แต่ยังเป็นการส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ด้วยความเจริญรุ่งเรือง
ความสำคัญของของขวัญในวันตรุษจีนนั้นถูกให้ความสำคัญมากมายในการบูรณะความสัมพันธ์ของครอบครัว เพื่อน คู่ค้าของธุรกิจ นอกจากนี้การเลือกของขวัญยังสื่อถึงความคาดหวังที่ดีในปีต่อไป
ความหมายของวันตรุษจีน
วันตรุษจีนถือเป็นเวลาที่สำคัญในการล้างลบอัปมงคลและตอนรับสิ่งดีๆในปีใหม่ ถือเป็นการตอนรับปีใหม่ที่เต็มไปด้วยโชคลาภและความรุ่งเรือง นอกจากนี้การสืบทอดประเพณีทางวัฒนธรรมก็เป็นส่วนสำคัญของวันตรุษจีน ทำให้เทศกาลนี้มีความเป็นเอกลักษณ์
FAQs
เทศกาลตรุษจีนหรือวันตรุษจีนจัดขึ้นในช่วงต้นปีตามปฏิทินจีน ซึ่งมักตรงกับเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ของปฏิทินทางตะวันออก
“อั่งเปา” หรือ ซองเงินแดง เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในเทศกาลนี้ เป็นการให้ของขวัญที่แสดงถึงความบริสุทธิ์และความเป็นมงคล โดยทั่วไปจะให้กับเด็ก ๆ และผู้ที่ยังไม่แต่งงาน
การปล่อยไก่ตอนในเทศกาลนี้มีความหมายทางศาสนา และเชื่อว่าการปล่อยไก่ตอนจะทำให้คนที่ทำมีชีวิตอยู่ได้มีโชคลาภและมีสิ่งดี ๆ เข้ามา
สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายในวัฒนธรรมจีน โดยจะมีการใส่เสื้อผ้าอย่างเด่นชัดในช่วงเทศกาล
อาหารต่างๆ เช่น เกี๊ยว ปลา หมู เป็ด ไก่ น้ำชา ขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล มักจัดเตรียมไว้ แต่ละเมนูมีความหมายอันเป็นมงคล
การแลกเปลี่ยนของขวัญของพรีเมี่ยมมักเกี่ยวข้องกับสิ่งของหรืออั่งเปาที่บรรจุเงิน รวมถึงของขวัญที่สื่อถึงความปรารถนาดี
ครอบครัวมักจัดพิธีบูชาบรรพบุรุษ ถวายอาหาร ธูป และสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์อื่น ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของพวกเขา
แม้ว่าประเพณีดั้งเดิมจะยังคงอยู่ คนรุ่นใหม่อาจมีการเฉลิมฉลองแบบสมัยใหม่ อาจรวมถึงการตกแต่งที่สร้างสรรค์ กิจกรรมตามยุคสมัย มีการผสมผสานองค์ประกอบแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ตามยุคตามสมัย
สรุป
เทศกาลตรุษจีนเป็นที่มาของประเพณีที่ยาวนานและมีความหลากหลายทั้งทางวัฒนธรรมและศาสนา เทศกาลตรุษจีนไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองที่สนุกสนาน แต่ยังเป็นเวลาที่สำคัญที่ชาวจีนจะมาบูรณะความสัมพันธ์ มอบของขวัญ ให้ของพรีเมี่ยม แจกสินค้าพรีเมี่ยม ประเพณีการมอบของขวัญในวันนี้ไม่เพียงแค่เป็นการแสดงความคาดหวังที่ดี แต่ยังเป็นการส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่อย่างอบอุ่น ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความทรงจำที่มีความหมาย นอกจากนี้ เทศกาลตรุษจีนยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางศาสนาและความมีความสุขของชาวจีน